10 ทักษะซึ่งเป็นที่ต้องการในการทำงานปี 2023
10 ทักษะซึ่งเป็นที่ต้องการในการทำงานปี 2023
ในปี 2023 นี้ เทคโนโลยีและสภาวะการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเพื่อให้คงอยู่ในตลาดแรงงานได้อย่างแข็งแกร่ง การทราบและพัฒนาทักษะซึ่งเป็นที่ต้องการในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบุคลากรทุกคนที่ต้องการเติบโตและประสบความสำเร็จในสายอาชีพของตนเอง ทั้งนี้ การเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่เป็นที่ต้องการในการทำงานปี 2023 จึงมีประโยชน์อย่างมากทั้งในส่วนของบุคคลทั่วไปและองค์กร โดยทักษะเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงาน และเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างชัยชนะและความสำเร็จในสายอาชีพของคุณได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
บทความนี้จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมสำหรับปี 2023 และปีต่อๆไป โดยให้ความสำคัญกับทักษะซึ่งเป็นที่ต้องการและมีความสำคัญ ช่วยให้คุณพัฒนาและปรับปรุงทักษะ เตรียมความพร้อมและศักยภาพให้เป็นที่ต้องการและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่อาจเกิดขึ้น ผ่านการทำความเข้าใจและการปรับตัวตามภาวะการทำงานรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้มีความสามารถที่เพียบพร้อมในการเอาชนะสถานการณ์และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
และนี่คือ ‘10 ทักษะสำคัญ’ ซึ่งเป็นที่ต้องการและจำเป็นอย่างมากสำหรับการทำงาน ณ ปัจจุบัน
1) ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (EFFECTIVE COMMUNICATING)
การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การสื่อสารที่สามารถส่งข้อความหรือความหมายที่ต้องการให้ผู้ฟังหรือผู้รับทราบเข้าใจได้อย่างถูกต้องและชัดเจน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความสามารถในการทำงานร่วมกันของทีมหรือกลุ่มงาน และถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยทฤษฎีการสื่อสารในโลกที่นำมาประยุกต์ใช้กัน ณ ปัจจุบันก็มีหลายทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสื่อสารระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคน ไม่ว่าจะเป็น ทฤษฎีสื่อสารระหว่างบุคคลของ Claude Shannon และ Warren Weaver: ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของสัญญาณ (Signal) และความคลุมเครือ (Redundancy) ในกระบวนการสื่อสาร สิ่งสำคัญคือการส่งสัญญาณที่ถูกต้องและเข้าใจได้ตรงกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร หรือแม้แต่ ทฤษฎีการสื่อสารระหว่างบุคคลของ Michael Argyle: ทฤษฎีนี้เน้นปัจจัยที่มีผลต่อการสื่อสารระหว่างบุคคล ได้แก่ การใช้ภาษาที่ชัดเจน การสื่อความรู้สึกและอารมณ์ การสร้างความไว้วางใจ และการเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสม ซึ่งการสื่อสารอย่างมี ‘ประสิทธิภาพ’ จะมีลักษณะดังนี้:
- การสื่อสารทางการเขียนและการพูดให้มีความชัดเจนและเหมาะสมกับสถานการณ์:
การสื่อสารควรมีความชัดเจนในเนื้อหา ไม่ควรมีความกำกวมหรือความเข้าใจผิดพลาด ซึ่งการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นกระบวนการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งถึง ‘ข้อมูล’ หรือ ‘ความคิดเห็น’ ให้กับผู้อื่นโดยที่คนที่รับข้อมูลสามารถเข้าใจและตอบสนองต่อสารที่ส่งมาได้อย่างถูกต้อง การสื่อสารที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญในทุกด้านของชีวิต เช่น การสื่อสารในการทำงาน การสื่อสารระหว่างครอบครัว การสื่อสารในด้านการศึกษาและการสื่อสารทั่วไปในชีวิตประจำวัน เป็นต้น โดยมุ่งเน้นที่ 3 องค์ประกอบสำคัญ ดังนี้ - การใช้คำใช้สื่อสารที่ชัดเจน:
ใช้คำและประโยคที่ชัดเจนและไม่ก่อให้เกิดความกำกวมหรือความสับสน ควรเลือกใช้คำที่เหมาะสมและสื่อความหมายอย่างถูกต้อง - ความเข้าใจในเป้าหมาย:
ผู้ส่งสารควรมีความชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการสื่อสาร และสื่อให้ผู้รับสารเข้าใจได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง ตรงประเด็น - การใช้ภาษาที่เหมาะสม:
การใช้ภาษาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและบริบทของการสื่อสาร เช่น การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายสำหรับเด็กหรือภาษาทางวิชาการสำหรับการประชุมหรือสัมมนาต่างๆ ฯลฯ - การฟังและเข้าใจความต้องการของผู้อื่น:
การสื่อสารไม่เพียงแค่เรื่องของการส่งข้อมูล แต่ยังเกี่ยวข้องกับ “การฟังและเข้าใจข้อมูลที่ถูกส่งมาด้วย” ผู้รับสารควรเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญและใช้เทคนิคการฟังอย่างใกล้ชิดเพื่อรับรู้และเข้าใจการสื่อสารอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ การฟังและเข้าใจความต้องการของผู้อื่นถือเป็นอีกทักษะสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำงานร่วมกันเป็นทีมอย่างประสบความสำเร็จ นี่คือเทคนิคและไอเดีย 3 ข้อของการฟังที่คุณสามารถนำไปใช้ได้
- ฟังอย่างใส่ใจ: เมื่อคนอื่นกำลังพูดให้ใช้เวลาฟังอย่างใส่ใจโดยไม่ตัดความคิดเห็นกลางทาง ฟังคำพูดทั้งเสียงและข้อความและรับรู้สัญญาณร่างกายและส่วนต่างๆ ที่อาจแสดงถึงความรู้สึกและความคิดของผู้พูด
- ขอคำชี้แนะ: เมื่อผู้อื่นกล่าวคำพูดหรือแสดงความคิดเห็น คุณสามารถขอคำชี้แนะหรือการอภิปรายเพิ่มเติมเพื่อให้คุณเข้าใจความคิดเห็นได้อย่างถูกต้องและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- ความเป็นกลาง: เมื่อมีความแตกต่างในการเข้าใจหรือความต้องการ พยายามสื่อสารให้ความคิดเห็นของคุณเป็นไปในทิศทางที่สร้างความเข้าใจและสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาได้
- การใช้ภาษาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย:
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพต้องพิจารณาถึงลักษณะและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังสื่อสารด้วย เพื่อให้ข้อความที่เราส่งไปตรงกับความคาดหวังและสื่อถึงไอเดียหรือข้อมูลให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง โดยควรพิจารณาหลักการเบื้องต้นของการใช้ภาษาในการสื่อสาร ดังนี้
- ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย: พยายามใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อนเมื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย หากคุณใช้ภาษาที่ซับซ้อนหรือมีคำศัพท์ที่ยากต่อการเข้าใจมาก เป็นไปได้ว่ากลุ่มเป้าหมายอาจไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจข้อความของคุณได้อย่างถูกต้องทั้งหมด
- ความเหมาะสมกับวัฒนธรรม: พิจารณาถึงวัฒนธรรมและประเพณีของกลุ่มเป้าหมายที่คุณกำลังสื่อสารด้วย อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงภาษาหรือคำพูดที่อาจถูกพิจารณาว่าไม่เหมาะสม
- การใช้สื่อต่างๆ: การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพอาจใช้สื่อต่างๆ ประกอบ เช่น
- การใช้ภาพ: ภาพถ่ายหรือภาพประกอบสามารถใช้ในการสื่อสารได้อย่างรวดเร็วและเข้าถึงผู้รับในระดับที่ลึกซึ้งกว่าการใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว การใช้ภาพสามารถช่วยในการสร้างความเข้าใจและสร้างความทรงจำอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความซับซ้อนในการสื่อสารและช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
- การใช้ตัวอย่าง: การใช้ตัวอย่างจากประสบการณ์หรือผลงานที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยในการแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จหรือความเชี่ยวชาญของคุณ การใช้ตัวอย่างที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายจะทำให้พวกเขาเข้าใจและรับฟังข้อมูลของคุณได้ดียิ่งขึ้น
- การใช้สื่อออนไลน์: ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ การใช้สื่อออนไลน์ เช่น วิดีโอสื่อสังคมหรือเว็บไซต์สามารถช่วยให้คุณสื่อสารได้อย่างเข้าถึงผู้รับในวิธีที่สะดวกและทันสมัย นอกจากนี้ยังสามารถสร้างชุมชนออนไลน์ที่สนับสนุนความสนใจเดียวกันได้อีกด้วย (Community)
2) ทักษะการทำงานเป็นทีม (TEAMWORK)
‘ทักษะการทำงานเป็นทีม’ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต่อองค์กร ไม่ว่าตำแหน่งใดย่อมมีความต้องการคนที่ทำงานเป็นทีมได้ดี ถึงแม้เราจะทำงานคนเดียวได้เก่งเพียงไร แต่ถ้าขาดทักษะการทำงานเป็นทีมแล้ว อาจทำให้การทำงานร่วมกันสะดุด ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง โดยทักษะการทำงานเป็นทีมนั้นเป็นกระบวนการที่สมาชิกในองค์กรทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งทีมสามารถประกอบด้วยบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและทักษะที่แตกต่างกัน เพื่อสนับสนุนกันในการทำงานและบรรลุผลลัพธ์ที่ดีขึ้น อีกแง่หนึ่ง การทำงานเป็นทีมมีประโยชน์อย่างมากสำหรับบุคลากรและองค์กร โดยที่ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ ได้จากการทำงานร่วมกับผู้อื่น สามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับสมาชิกในทีม สร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นภายในทีมที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานนำไปสู่ความสำเร็จของทีมและองค์กรได้อีกด้วย
3) ทักษะการแก้ไขปัญหา (PROBLEM SOLVING THINKING)
ทักษะการแก้ปัญหา เป็น Soft Skills ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็เป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้ในทุกสถานการณ์ ไม่เพียงเฉพาะแต่ในการทำงานเท่านั้น บางครั้งในชีวิตประจำวันเราก็อาจใช้ทักษะนี้โดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำไป เช่น รถที่นั่งมาเสียกลางทาง เราก็ต้องหาวิธีอื่นเพื่อไปให้ถึงออฟฟิศได้ทันเวลา เป็นต้น และถ้าอยากอยากเป็นคน ‘แก้ปัญหาเก่ง วิธีการแก้ปัญหาต้องทำอย่างไรบ้าง?’
- เข้าใจปัญหา: วิเคราะห์และเข้าใจปัญหาอย่างรอบคอบ ระบุสาเหตุและผลกระทบของปัญหา รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมองหามุมมองและข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจช่วยในการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จได้โดยง่าย
- กำหนดเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหา โดยเป็นเป้าหมายที่สามารถวัดได้ ตั้งเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งควรเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับความต้องการและทรัพยากรที่มีอยู่
- ค้นหาและวิเคราะห์ทางเลือก: พิจารณาและสร้างทางเลือกที่เป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหา ใช้ความคิดสร้างสรรค์และการนำเสนอความคิดจากผู้อื่น พร้อมตรวจสอบข้อดี ข้อได้เปรียบและข้อเสียของแต่ละทางเลือก
- ทดลองและประเมินผล: ทดลองดำเนินการตามทางเลือกที่เลือกมา ประเมินผลแต่ละทางเลือก วิเคราะห์ข้อดี ข้อได้เปรียบและข้อเสียของแต่ละทางเลือกพร้อมกับการปรับแก้ไขเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
- สรุปและนำเสนอ: สรุปผลการแก้ปัญหาและนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาที่ได้ผ่านกระบวนการวิเคราะห์และการทดลอง อธิบายเหตุผลและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่สามารถสนับสนุนการตัดสินใจ
- การเรียนรู้และปรับปรุง: ใช้ประสบการณ์และการเรียนรู้จากการแก้ปัญหาในอดีตเพื่อปรับปรุงกระบวนการแก้ปัญหาในอนาคต ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและปรับปรุงข้อบกพร่องในกระบวนการแก้ปัญหา
4) ทักษะการบริหารเวลา (EFFECTIVE TIME MANAGEMENT)
‘การบริหารเวลา’ เป็นทักษะที่สำคัญในการดำเนินชีวิตและการทำงานในปัจจุบัน ช่วยให้เรามีความเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือแม้แต่หน้าที่ความรับผิดชอบประจำวันหากทำได้อย่างเชี่ยวชาญ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพที่กล่าวถึง แม้จะมีเวลาไม่มากหรือมีงานล้นมือแต่ถ้าสามารถพัฒนา “ทักษะการบริหารเวลา” ได้อย่างดี ก็จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ทันท่วงที ซึ่งจริงๆ แล้วการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องยากเพียงแต่ต้องใช้เวลา ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีการของตนเองแตกต่างกันไป โดยเรามีเคล็ดลับซึ่งคุณสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อการบริหารเวลาได้ดีเยี่ยมมาฝากกัน ดังนี้
- การตั้งเป้าหมายและวางแผน: กำหนดเป้าหมายรายวัน รายสัปดาห์และรายเดือน เพื่อให้คุณมีแนวทางในการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ วางแผนกิจกรรมต่างๆ เพื่อควบคุมเวลาให้เหมาะสม
- การจัดการกิจกรรมที่สำคัญ: ระบุกิจกรรมที่มีความสำคัญและความเร่งด่วนสูงสุด และให้ความสำคัญแก่การดำเนินกิจกรรมเหล่านั้นก่อนกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
- การกำหนดลำดับความสำคัญ: จัดลำดับความสำคัญของงานและกิจกรรมต่างๆ โดยใช้วิธีการ เช่น Matrix Eisenhower เพื่อระบุงานที่มีความสำคัญและกระทำให้มีผลสำคัญมากที่สุด ดังรูปด้านล่าง
- การจัดสิ่งที่ไม่สำคัญ: รู้จักจัดสิ่งที่ไม่สำคัญหรือกิจกรรมที่ไม่มีคุณค่าออกไป หรือการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดการใช้เวลาในงานที่ไม่สำคัญ โดยใช้เทคนิค Delegation (มอบหมายงาน) เป็นเทคนิคการบริหารเวลาและการทำงานรูปแบบหนึ่งที่นำมาแก้ปัญหาในเรื่องนี้ โดยสามารถทำได้ทั้งในลักษณะจากบนลงล่าง คือ จากผู้บังคับบัญชามอบให้ลูกน้อง และในระดับแนวราบ คือ หัวหน้าทีมงานมอบให้สมาชิกทีมงาน การมอบหมายงานเป็นกระบวนการบริหารที่ท้าทายความสามารถของผู้นำ จำเป็นต้องทำให้ถูกต้องอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จึงจะได้ผลงานที่มีคุณภาพและปริมาณตามที่มุ่งหวัง
- การบริหารเวลาส่วนตัว: สร้างเวลาสำหรับกิจกรรมส่วนตัวที่สำคัญ เช่น การออกกำลังกาย การพักผ่อน การอ่านหนังสือ หรือการพัฒนาทักษะเพิ่มเติม มีการตั้งเป้าหมายและวางแผนให้มีความสมดุลทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและการทำงาน
- การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย: ใช้เครื่องมือและแอปพลิเคชันที่ช่วยในการจัดการเวลา เช่น ปฏิทินออนไลน์ ตั้งเตือนการทำงาน และเครื่องมือการจัดการโปรเจกต์ เพื่อให้คุณอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องและไม่พลาดกิจกรรมต่างๆ
- การปรับปรุงและการเรียนรู้: พิจารณาวิธีการเรียนรู้และปรับปรุงการบริหารเวลาของคุณ พร้อมศึกษาเทคนิคและวิธีการใหม่ๆ ที่สามารถปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารเวลาของเรา
“การบริหารเวลา” เป็นกระบวนการที่ต้องพัฒนาเรื่อยๆ และคุณสามารถปรับใช้ทักษะการบริหารเวลาเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คุณสามารถใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้มากยิ่งขึ้นในปี 2023 และปีต่อๆไป
5) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (CREATIVE THINKING)
อีกหนึ่งทักษะสำคัญสำหรับผู้ที่อยู่ในทุกๆ สายงาน โดยผลสำรวจของ Future of Jobs Report 2023 พบว่า กลุ่มทักษะที่มีความสำคัญมากขึ้น คือ กลุ่มทักษะทางปัญญา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า “การแก้ปัญหาซับซ้อนในที่ทำงาน” เป็นเรื่องสำคัญมากขึ้น และหนึ่งในทักษะทางปัญญาที่มีความสำคัญกว่าเดิมอย่างโดดเด่น ก็คือ “การคิดอย่างสร้างสรรค์” หรือการมีวิธีคิด & ไอเดียใหม่ เปลี่ยนมุมมองหรือหาทางออกใหม่ๆ ให้กับปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่สำคัญกับการทำงานในอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทักษะความคิดสร้างสรรค์เป็นทักษะที่สำคัญซึ่งต่อยอดสู่การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและสร้างความสำเร็จในการพัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ดังนั้น หากคุณต้องการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ ลองมาพัฒนา 6 ทักษะต่อไปนี้ให้ดีขึ้นกันดีกว่า :
- การคิดแบบเปิด (Open-mindedness): การเปิดรับและยอมรับความคิดและมุมมองที่แตกต่างหรือตรงกันข้ามโดยไม่ใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสิน เพราะโลกใบนี้มีคนนับหลายล้านคนความแตกต่างย่อมมีเป็นเรื่องปกติ และแน่นอนว่าทุกคนย่อมมีอิสระทางความคิดของตัวเอง
- การคิดเชิงบวก (Positive Thinking): การมองหาในสิ่งที่เป็นไปได้และแรงบันดาลใจโดยไม่ติดอยู่กับข้อจำกัดหรือปัญหา แต่เน้นการค้นหาวิธีแก้ไขและการพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
- การคิดนอกกรอบ (Out-of-the-box Thinking): การมองหาแนวคิดที่ไม่ธรรมดาและไม่เชื่อมโยงกับแบบแผนที่มีอยู่แล้ว ผ่านการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อแก้ไขปัญหาในแบบที่ไม่ซ้ำเดิม เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้น
- การทดลองและการรับความเสี่ยง (Experimentation and Risk-taking): การลองทำสิ่งใหม่ๆ และยอมรับความเสี่ยงในกระบวนการสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการทดสอบและปรับปรุงไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาแนวทางที่ดีที่สุด
- การทำงานเป็นทีม (Collaboration): การทำงานร่วมกันกับผู้อื่นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและแรงบันดาลใจ ซึ่งการทำงานเป็นทีมนั้นจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
- การสร้างและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์: การใช้เทคนิคและเครื่องมือต่างๆ เช่น การสร้างแผนภาพความคิด (Mind Mapping) การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ การบันทึกและการแบ่งปันความคิดเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
ซึ่งแน่นอนว่า การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการแก้ไขปัญหาที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาบุคลากรและประสิทธิภาพขององค์กรให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
6) ทักษะการเรียนรู้และการปรับตัว (ADAPTABILITY)
ทักษะการปรับตัว (Adaptability) คือ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนหรือปรับตัวเพื่อการทำงานหรือดำเนินชีวิตในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถทำได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในสภาวะที่ไม่แน่นอนหรือท้าทาย ทักษะนี้เกี่ยวข้องกับการยอมรับการเปลี่ยนแปลง การปรับตัวอย่างเหมาะสม การตัดสินใจที่รวดเร็วและความยืดหยุ่นในการรับมือกับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่าง ทั้งนี้ การมี ‘ทักษะการปรับตัว’ มีความสำคัญอย่างมากในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจและองค์กรต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การตลาดและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้บุคลากรต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในงาน สภาพแวดล้อมและความต้องการของลูกค้า ซึ่งการมีทักษะการปรับตัวที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้อย่างราบรื่นและสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน แล้วทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวนั้น … มีอะไรบ้าง?
- ความยืดหยุ่นทางการคิด (Flexibility):
การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวในการคิดวิเคราะห์เพื่อตอบสนองสถานการณ์ใหม่ๆ - การเรียนรู้และความสามารถในการเรียนรู้ (Learning Agility):
ความสามารถในการเรียนรู้และปรับปรุงตนเองเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น - ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration):
การทำงานร่วมกับผู้อื่นในทีมหรือองค์กร รวมถึงเชื่อมโยงและปรับตัวกับคนอื่นในสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลง - การวางแผนและการจัดการเวลา (Planning and Time Management):
การวางแผนงานและการจัดการเวลาให้เหมาะสมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง - ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity):
ความคิดสร้างสรรค์ในการหาทางออกและแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหรือซับซ้อน - ความยินยอมและความเป็นอิสระ (Openness and Adaptability):
ความยินยอมในการยอมรับการเปลี่ยนแปลงและความเป็นอิสระในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ
การพัฒนา “ทักษะการปรับตัว” จะช่วยให้คุณเติบโตและสร้างองค์กรแห่งการเปลี่ยนแปลง สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้อย่างราบรื่น ซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญเพื่อสร้างความสำเร็จในการทำงานและการใช้ชีวิต ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและรวดเร็ว
7) ทักษะด้านการนำทีมและการบริหาร (LEADERSHIP VS MANAGEMENT)
‘ทักษะด้านการนำทีมและการบริหาร’ คือ ความสามารถในการเป็นผู้นำและจัดการทีมให้มีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ที่ดี สำหรับ 'การนำทีม’ นั้น เป็นการสร้างและสนับสนุนทีมให้ทำงานร่วมกันโดยเป็นไปตามเป้าหมายและภารกิจที่กำหนด โดยเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิกในทีม การกำหนดบทบาทและหน้าที่ให้แก่สมาชิก การส่งเสริมความร่วมมือ รวมถึงการให้กำลังใจและแนะนำสมาชิกในทีมให้สามารถประสบความสำเร็จและเติบโตก้าวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วน ‘การบริหาร’ คือ การวางแผนและจัดการทรัพยากรต่างๆ เพื่อให้การทำงานเกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งรวมถึงการวางแผนกลยุทธ์ การจัดการเวลา การบริหารทรัพยากรบุคคล การติดตามและวัดผล การแก้ไขปัญหา และการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายองค์กร อย่างไรก็ตามทักษะด้านการนำทีมและการบริหารนั้น ถือว่าสำคัญอย่างมากในบริบทที่มีการทำงานเป็นทีมและสำหรับบุคลากรที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำหรือเป็นคนรับผิดชอบในการบริหารงาน โดยความสามารถทั้ง 2 ด้านนี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับ
การทำงานเป็นทีมและช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดีของการทำงานในองค์กรได้อย่างยั่งยืน นี่คือทักษะบางส่วนที่สำคัญเพื่อสร้างภาวะผู้นำและปูพื้นฐานทักษะการบริหารที่ดี
8) ทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล (TECHNOLOGY AND DIGITAL SKILLS SET)
ทิศทางความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและองค์กรทางด้านเทคโนโลยีในปีหน้าเป็นต้นไปจะเน้นการก้าวไปสู่ Cloud Computing, Big Data Analytics, AI, Encryption ความปลอดภัยทางด้าน Cyber, IoT การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ กระบวนการผลิตเนื้อหา รูปภาพ และเสียง, E-commerce และการค้าในรูปแบบ Digital, AR และ VR, Blockchain เป็นต้น การที่เราจะก้าวทันความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้นั้นเราจำเป็นจะต้องพึ่งพาทักษะด้านดิจิทัลเพื่อนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้อง ในด้านต่างๆ ดังนี้
- ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี:
การมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับงานของคุณ รวมถึงทรัพยากรดิจิทัลที่ใช้ในองค์กร เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมและแอปพลิเคชัน รวมถึงเครื่องมือการสื่อสารต่างๆ เป็นต้น - การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี:
การมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงาน นอกจากนี้ยังต้องมีความสามารถในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น - การวิเคราะห์และการจัดการข้อมูล:
ทักษะในการวิเคราะห์และจัดการข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานในยุคดิจิทัล คุณควรมีความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในการตัดสินใจและการวางแผนงาน - การสื่อสารดิจิทัล:
การมีทักษะในการสื่อสารผ่านช่องทางและเครื่องมือดิจิทัล เช่น อีเมล์ แชทออนไลน์ โพสต์สื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น โดยการสื่อสารดิจิทัลนั้นจะช่วยให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นในทีมหรือองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ - การควบคุมและการรักษาความปลอดภัย:
ทักษะในการควบคุมและรักษาความปลอดภัยในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรมีความเข้าใจในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล การสร้างระบบรักษาความปลอดภัย และการป้องกันการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวจากHacker หรือผู้ไม่ประสงค์ดี - การเรียนรู้และการปรับตัว:
ทักษะในการเรียนรู้และการปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญในสภาวะที่เทคโนโลยีและดิจิทัลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คุณควรเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์กรและสภาพแวดล้อมที่คุณทำงานอยู่เสมอ
หากเรามีทักษะด้านดิจิทัลที่ครบถ้วน ย่อมส่งผลดีต่อการหางานและเพิ่มโอกาสในการทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำทางเทคโนโลยี จาก The Future of Jobs Report 2023 มีการจัดอันดับอาชีพที่มีความต้องการสูงในตลาดแรงงานซึ่งหนีไม่พ้น ตำแหน่งงานด้าน IT นั่นแสดงให้เห็นว่า “ข้อมูล” นั้นมีความสำคัญอย่างมากกับองค์กร ทำให้ธุรกิจต่างๆ ต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีมาช่วยในการทำงาน เพื่อจัดการกับข้อมูลที่มีอยู่มากมายและสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับองค์กรได้จริง
9. ทักษะด้านการวางแผนและการจัดการโครงการ (PROJECT MANAGEMENT)
“ทักษะด้านการวางแผนและการจัดการโครงการ” เป็นทักษะที่สำคัญในการบริหารโครงการให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ ดังนั้น การพัฒนาทักษะและเพิ่มเติมความเชี่ยวชาญด้าน Project Management ของตนเองให้มีมาตรฐาน จึงเป็นอีกทางเลือกที่ดีเพื่อบริหารโครงการต่างๆ พร้อม ‘ปรับจูน’ ทีมงานที่อยู่ภายใต้ Project ให้ทำงานร่วมกันได้สำเร็จในระยะเวลางบประมาณ และขอบเขตงานที่กำหนด รวมถึงช่วยยกระดับความสามารถในการบริหารโครงการและสร้าง Team Spirit ที่ดีในอนาคตได้อีกด้วย
10. ทักษะด้านการเรียนรู้จากข้อมูล (DATA DRIVEN SKILL)
ทฤษฎีด้านการเรียนรู้จากข้อมูลเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาและใช้งานของศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ซึ่งมีหลายทฤษฎีที่เกี่ยวข้องและถือว่าสำคัญที่สุดในการเรียนรู้จากข้อมูล โดยนิยมนำมาประยุกต์ใช้อย่างมากในการทำงาน ทั้งนี้ “ทักษะด้านการเรียนรู้จากข้อมูล” ช่วยให้คุณสามารถนำข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์และสร้างความรู้ใหม่ๆ เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในยุคที่มีข้อมูลอยู่มากมายและสามารถเข้าถึงได้ง่ายอยู่ตลอดเวลา โดยสามารถใช้ Data Driven เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานได้อย่างยอดเยี่ยม และดึงความแข็งแกร่งของ ‘ข้อมูล’ ออกมา เพื่อสร้างโอกาสและการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ
10 ทักษะข้างต้นถือเป็น ‘ทักษะพื้นฐาน’ ที่จะทำให้คุณมีความโดดเด่น มีความพร้อมที่จะรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น มีความสามารถเพียงพอที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ได้เลื่อนตำแหน่งและเป็นที่ต้องการของทุกๆบริษัทฯ รวมถึงเป็นบันไดให้คุณสามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่ทักษะอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตและการทำงานได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด :)